10 อันดับโรคอัตราย ที่เสี่ยงเสียชีวิตสูงสุดในประเทศไทย จากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน
10 อันดับโรคอันตราย โรคภัยไข้เจ็บในสังคมปัจจุบันมีมากขึ้น นี่เป็นเพราะพฤติกรรมเสี่ยง โรคที่คนในสังคมสร้างขึ้นมี 10 โรค คนไทยทุกวันนี้ล้วนแต่เป็นโรคที่เกิดจากชีวิตประจำวันที่ผิดปกติ จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยหลายล้านคน แม้ว่าความผิดปกติเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักกันดีและสามารถรักษาได้ แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะอย่างน้อยการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาในภายหลัง
10 อันดับโรคอัตราย อันดับที่ 1 ตลอดกาล คงไม่พ้น โรคมะเร็ง
โรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งอะไร มะเร็งลำไส้ มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งเต้านม เขาทั้งสองฆ่าคนไทยจำนวนมาก สถิติมะเร็งของคนไทยเพิ่มเป็น 70,000 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรคมะเร็งยังคงครองแชมป์โรคที่พบบ่อยที่สุดของประเทศ โดยครองอันดับหนึ่งเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน โดยมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 50,000 คน หนึ่งปีอีกด้วย
10 อันดับโรคอัตราย อันดับที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือด อีกหนึ่งโรคระบาดของคนไทยไม่แพ้มะเร็ง เพราะนิสัยกินไขมันสูง ไม่ยอมออกกำลังกาย สูบบุหรี่จัด ทำให้ตัวเองอ้วนเป็นกรรมพันธุ์ การมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานทั้งวันเป็นอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
สาเหตุของการเกิดโรค
คือการสะสมของไขมัน หรือเกาะตามผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจนตีบแคบลงทำให้หลอดเลือดอักเสบและร่างกายต้องส่งเม็ดเลือดขาวไปซ่อมแซม มันทำให้เซลล์เม็ดเลือดเหล่านี้ เข้าสู่กระแสเลือดจนไม่สามารถส่งไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ตายเร็ว ๆ นี้ ถ้าไม่อยากเป็นโรคหรืออาการต่างๆ ลดลง ควรกลับไปดูแลร่างกายโดยทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นอาหารไขมันต่ำ ผัก ผลไม้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องโรคประจำตัวควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง
10 อันดับโรคอัตราย อันดับที่ 3 โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินในปริมาณมาก จนระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติร่างกายจึงนำน้ำตาลไปใช้ไม่ได้อย่างเหมาะสม ตับอ่อนทำงานผิดปกติจนไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้หรือมีน้อยจนทำให้น้ำตาลในเลือดยังคงสูง
เบาหวานแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
- เบาหวานชนิดที่ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง หรือที่เรียกว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือภูมิต้านตนเอง
- ส่วนอีกโรคหนึ่งคือโรคเบาหวานซึ่งยังไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เป็นพันธุกรรม เป็นประเภทของโรคเบาหวานที่คนส่วนใหญ่เป็น ในช่วงแรกผู้เป็นเบาหวานจะปัสสาวะบ่อยและมีสีเข้ม หากปล่อยไว้นานๆ จะมีมดขึ้นในปัสสาวะ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ดื่มน้ำมาก กระหายน้ำบ่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แผลหายยาก เจ็บง่าย ชามือ เท้า หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
การรักษาโดยการฉีดอินซูลิน กระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตอินซูลินและการดูแลชีวิตเพื่อควบคุมอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง
อันดับที่ 4 ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง ถึง 140/90 มม. – ปรอท หรือสูงกว่า ความดันปกติของมนุษย์คือ 90 – 119/60 – 79 มม. – เอช.จี
ความดันโลหิตสูงมีสองประเภท
- ประเภทที่ไม่ทราบสาเหตุ (ความดันโลหิตสูงที่จำเป็น) พัฒนาอย่างไรและพบได้มากถึง 90 – 95% ของผู้ป่วย คิดว่าเกิดจากการรวมกันของเอนไซม์ ฮอร์โมน และต่อมที่มีหน้าที่ควบคุมความเครียดในร่างกาย การทำงานที่ไม่สม่ำเสมอหรือผิดปกติอาจเกิดจากพันธุกรรม เชื้อชาติ และการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม และแร่ธาตุแคลเซียมเสียสมดุล
- ประเภทที่ทราบสาเหตุ เกิดขึ้นได้เพียง 5-10% ของผู้ป่วย และเกิดจากโรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อหลอดเลือด หัวใจ และความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย และเนื้องอกในสมอง นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือแม้แต่ยาสเตียรอยด์บางชนิด ก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน
อันดับที่ 5 วัณโรคในอากาศ
วัณโรคในอากาศ เป็นโรคทางเดินหายใจเหมือนกัน สาเหตุนี้เกิดจากแบคทีเรียที่เรียกว่า Mycobacterium tuberculosis (Mycobacterium tuberculosis) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มขึ้นถึง 70% ต่อปี ในปี พ.ศ. 2549 ตรวจพบผู้ป่วยวัณโรคปอดทั้งหมด 58,639 ราย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15-44 ปี และเป็นโรคเรื้อรัง และสามารถติดต่อกับผู้อื่นได้ง่าย โดยเฉพาะ สารคัดหลั่งต่างๆ ออกจากร่างกาย ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะเสื่อมเร็วขึ้น หากสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากๆ หรือในผู้ที่มีอาการป่วยก็จะมี
วัณโรคเป็นโรคแทรกซ้อนง่ายๆ อาการของผู้ป่วยวัณโรคจะมีอาการไอแห้งๆ มีเลือดออกติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ นอกจากนี้ อาจมีอาการเหนื่อยง่ายในบางครั้ง หรือมีไข้แต่ผู้ที่อยู่ในระยะแรกมักจะมีอาการไม่มาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด แน่นหน้าอก และเจ็บหน้าอกทุกครั้งที่ไอ หากมีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคนี้ให้จัดสถานที่ให้สะอาดและอากาศถ่ายเทสะดวก ระบายอากาศได้ดี ห้ามสัมผัส หรือสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้ควรพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ในระยะเริ่มต้นของการรักษาผู้ป่วยต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 เดือน และอาการจะดีขึ้นจนหายขาด แต่ถ้ากินยาไม่ตรงเวลา แบคทีเรียที่ดื้อยาจะต้องกินยาตัวใหม่ที่มีราคาแพงกว่า และใช้เวลาถึง 18 เดือนในการฟื้นตัว ดังนั้นจึงควรปฏิบัติ เริ่มต้นด้วยการทดสอบและทานยาและรู้สึกดีขึ้น
อันดับที่ 6 โรคปอดเรื้อรัง
โรคปอดเรื้อรัง สามารถพัฒนาเป็นถุงลมโป่งพองได้ เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ต่อมสร้างเมือกใต้เยื่อบุที่มีชั้นเยื่อบุผิวมากขึ้นจะขยายใหญ่ขึ้น และสร้างเมือกเข้าสู่หลอดลมจนทำให้เซลล์ที่ทำหน้าที่ล้างสิ่งสกปรกที่เคลือบเมือกอยู่และนำเมือกส่วนใหญ่จากส่วนอื่นเข้าสู่หลอดลมและถุงลมนิรภัยจะถูกทำลายจนหายไป
สาเหตุหลักของการเกิด
มาจากการสูบบุหรี่ การสูดดมละอองสารเคมีเป็นเวลานานจนเกิดการสะสม และทำให้อากาศเสีย และภาวะทางพันธุกรรมบางอย่างสามารถทำให้เกิดได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะมาจากผู้ที่สูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในควันบุหรี่สามารถทำลายปอดและหลอดลมได้ คนสมัยนี้ นิยมสูบบุหรี่กันมากขึ้น และเกิดโรคขึ้นได้บ่อย เต้านมบวม เหนื่อยง่าย หากไม่ดูแลหรือดูแลอย่างเหมาะสม แค่เดินก็เหนื่อย หายใจมีเสียง อาจนำไปสู่การหายใจล้มเหลวและอาจถึงแก่ชีวิตได้
คุณควรดูแลตัวเองด้วยการเลิกบุหรี่เพื่อตัวคุณเองและคนในครอบครัว หลีกเลี่ยงการสูดดมควันพิษทุกชนิดที่ปนเปื้อนอยู่รอบตัวคุณ และไปพบแพทย์ทันที เมื่อมีอาการหายใจติดขัด
อันดับที่ 7 โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ มีหลายชนิด เกิดจากการแพ้สารต่างๆ แม้กระทั่ง อากาศและอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา มีอาการหลายอย่าง เนื่องจากอาการภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับร่างกายแทบทุกส่วน รวมถึงอาการ จาม และหายใจลำบากในตอนกลางคืน
- แพ้อากาศ มีผื่นขึ้นตามร่างกายเมื่อรับประทานอาหารที่ร่างกายไม่คุ้นเคย
- ภูมิแพ้ผิวหนัง ปวดท้องมาก ถ่ายอุจจาระผิดปกติ
- โรคภูมิแพ้ในทางเดินอาหาร
- อาการแพ้แบบผสม
อาการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เพราะปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นอาหารหรืออากาศต่างก็มีสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่ ดังนั้นจำนวนผู้ป่วยโรคนี้จึงเพิ่มขึ้นทุกปี เบื้องต้นควรดูแลตัวเองด้วยการนอน และตื่นนอนให้ตรงเวลา ออกกำลังกาย รับประทานอาหารสดบ่อยๆ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ต้องทำความสะอาดตลอดเวลา หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการ เช่น อาหารทะเล ขนมปัง นม เป็นต้น หายาและทานยาแก้แพ้เมื่อมีอาการ มิเนอรัลจะช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ แต่จะหยุดใช้หากอาการแย่ลง และไปพบแพทย์ทันที
อันดับที่ 8 โรคทางจิตเวช
โรคทางจิตเวช เกิดจากการงานมีความเครียดเพราะชีวิตยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และความเครียดในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมถึงผู้ที่รับประทานยาแก้ซึมเศร้าและยาระงับประสาท
ผู้ที่เป็นโรคนี้มีพฤติกรรมเหมือนคนปกติทั่วไป ยากที่จะดูว่าใครเป็นใคร แต่เมื่อเกิดแรงกดดัน ก็อาจทำสิ่งที่ร้ายแรงกว่าได้ หรือมีความเครียดมากซึ่งบางกรณีเกิดจากการขาดยาอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ มันอาจจะมีคนในบ้านดูแลอย่างใกล้ชิดพูดคุยเพื่อลดความเครียด หากคุณรู้สึกกดดันที่ต้องออกจากสถานการณ์ทันที ให้สารภาพกับคนใกล้ชิด และโทรหาศูนย์ช่วยเหลือเพื่อไปรับคุณที่สนามบินและไปพบแพทย์เมื่อมีอาการตั้งแต่ผิดปกติจนถึงรุนแรง และวินิจฉัยอาการต่อไป
อันดับที่ 9 ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูก การอักเสบของเส้นเอ็น
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่ว่าจะเกิดจากการก้มมองโทรศัพท์ ทำงานหน้าจอ คอมพิวเตอร์ หรือเล่นกีฬา และจะรุนแรงขึ้นเมื่อถูกกระตุ้น ถ้าคนปกติ ไม่ปวด แต่คนที่เป็นทุกข์จะปวดมากขึ้นเมื่อปวดรุนแรงและ อาการจะเริ่มแย่ลงกว่าคนปกติ 2 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดอาการป่วยทางจิตต่างๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ฯลฯ ซึ่งสังเกตได้ง่ายจากข้อมือและข้อเท้าบวม ไวต่อเสียงและแสง และปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดท้องเรื้อรังและท้องเสียง่ายหลังจากใช้ต่อเนื่อง 3 เดือน หากปวดศีรษะรุนแรงควรไปพบแพทย์ทันที
วิธีดูแลตัวเองคือเลิกเล่นโทรศัพท์ จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์สักพักเพื่อลดความเครียดจากการทำงาน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อจัดการกับความเจ็บปวด และพยายามนอนให้ตรงเวลาเสมอ
อันดับที่ 10 โรคอ้วนและน้ำหนักเกิน
โรคอ้วน เป็นอีกโรคหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมาก เพราะง่ายต่อการใช้จ่ายและทำงานหรือใช้ชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องทำงานตลอดเวลาจนไม่สนใจออกกำลังกาย หรือกรณีคลอด เพราะร่างกายใช้พลังงานน้อยกว่าปกติก็อาจเป็นผลข้างเคียงของยาบางชนิดได้เช่นกัน โรคอ้วนยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และโรคอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อคุณมีน้ำหนักมากกว่าที่คุณสูง ร่างกายหนา หายใจลำบาก นี่เป็นสัญญาณว่าควรเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอื่นๆ ขึ้น คุณควรลดน้ำหนักให้ได้ 10% ภายใน 6 เดือน ที่คุณไม่หักโหม ตัวเลขนี้ถือว่าเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการลดและดูแลเรื่องอาหารที่ต้องเพิ่มการรับประทานอาหารไขมันต่ำ ลดอาหารที่มีไขมันและรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น รับประทานอาหารตามวิถีชีวิตสมัยใหม่ให้น้อยลง ลดความเครียด และออกกำลังกายให้มากขึ้น และผู้ป่วยที่อ้วนจนไม่สามารถฟื้นฟูได้เองแพทย์อาจวินิจฉัยและทำการผ่าตัด สามารถลดหน้าท้องได้
ติดตามบทความเกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ : medicalthai